บทความ
บทบรรณาธิการ ควนป่านาเล 5 ฉบับ : ขอคืนพื้นที่
ทำไมหนอการพัฒนาในนามโครงการของรัฐทั้งหลายแหล่ไม่ว่ายุคไหนสมัยใดมักไม่ใส่ใจรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชุมชน มินับการใช้อำนาจที่ข่มขู่คุกคามทำร้ายอย่างเถื่อนๆแบบบ้านป่าเมืองเถื่อน ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังมะโก
การยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดิน 50 เมตรสุดท้ายของตนที่ขวางแนวทางพาดผ่านของท่อก๊าซไว้ด้วยชีวิตอย่างที่เรียกได้ว่าแต่เพียงลำพังของ “วะเน๊าะ” แม่เฒ่ามุสลิมวัย 70 แห่งบ้านป่างาม อำเภอจะนะ จะไปต่อกรสู้รบปรบมือกับสิ่งเหล่านั้นได้อีกนานเท่าใด และผลในบั้นปลายจะเป็นอย่างไรคงคาดเดากันได้ไม่ยาก
สิ่งเหล่านี้บอกอะไรกับเราบ้าง แต่อย่างน้อยคนที่มีหัวจิตหัวใจอย่างนี้มิใช่หรือคือหัวจิตหัวใจของคนที่ประเทศต้องการ ประเทศที่เพื่อนเราบางคนบอกว่าถ้ายกเลิกระบบสส.ไปก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเสียหายเกิดขึ้นมา ท่านว่าน่าคิดไหม
เรื่องเด่นในฉบับกลับมาขอคืนพื้นที่นี้ นอกวงโคจร โดย ธารคีรี เมฆกาหยู ได้สะท้อนเรื่องราวในชั่วชีวิตของวะเน๊าะในอีกท่วงทำนองหนึ่งของความรู้สึกนำมาให้ท่านได้รับรู้ร่วมกัน
แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แม้แต่ในแวดวงราชการพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง ดูง่ายๆอย่างกรณีของ พล.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ “จ่าเพียร”นักรบแห่งเทือกเขาบูโด บันนังสตาที่ขึ้นมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรีที่ไม่ยอมแม้แต่ให้เข้าพบ ระดับนายตำรวจใหญ่ที่ต่างก็บุ้ยบ้ายบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ เพียงแค่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตพักผ่อนอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิดบ้างในบั้นปลายของชีวิตก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแล
กระทั่งท่านกล้าออกมาตีแผ่ความฟอนเฟะของแวดวงตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลและผลประโยชน์ ร้องทุกข์ให้กับการทำงานของข้าราชการชั้นผู้น้อยในพื้นที่สามจังหวัดให้สังคมได้รับรู้ คล้อยหลังไม่กี่วันท่านก็กลับมาถูกระเบิดเสียชีวิตอย่างน่าอเนจอนาถเศร้าสะเทือนใจคนทั้งประเทศ หรือนี่ละหรือคือตัวอย่างผลตอบแทนของคนที่ทำงานรับใช้ประชาชนอย่างไม่เคยย่อท้อมากว่าชั่วชีวิต 30 ปี
ณ วันนี้ท่านได้เป็นเสมือนวีรบุรุษนักสู้ เป็นตำนาน แต่ก็ดังที่ลูกชายคนโตของท่านให้สัมภาษณ์ว่า “ประเทศนี้มักให้ค่าความสำคัญกับคนที่ตายไปแล้วมากกว่าคนที่มีชีวิตอยู่” ชุมพล เอกสมญา บอกเล่าถึงพื้นที่การสู้รบแห่งบันนังสตาตอนหนึ่งว่าแทนที่เช้าขึ้นมาจะมีแสงอาทิตย์ส่องสว่างบรรยากาศกลับปกคลุมไปด้วยหมอกฝน บ่อยครั้งที่จ่าเพียรและลูกน้องต้องยิงปะทะกับโจรผู้ก่อการร้ายในม่านหมอกฝนที่ตกติดต่อกันถึง 3-4 วัน ขณะที่เสบียงกรังมีแต่เพียงปลาแห้งและหัวกลอย และการข่าวที่ครั้งหนึ่งต้องแลกมากับการขายปืนของตน แลกกับงบประมาณการข่าวกว่า 2,000 ล้านบาทที่รัฐทุ่มเทลงไปในความว่างเปล่า
ในโหมเพลงฉบับนี้เรานำบทเพลง “ยูงทองแค้น” ที่น้ายาวลูกน้องของท่านแต่งไว้เป็นเพลงมาร์ชของหน่วยรบกว่า 30 ปีที่แล้ว ที่ขึ้นต้นว่า “เช้าขึ้นตะวันดับ สายฝนก็สาดก็ซับ เมฆหมองน้ำนองไพรสณฑ์ หน่วยยูงทองก็ยังสู้ทน เพื่อรับใช้ประชาชน ไม่เคยให้เขาแคลน..” ขับร้องโดยชุมพล เอกสมญา ในงานรำลึก 100 วันจ่าเพียรมาบรรณาการท่านให้รับรู้ในอีกแง่มุม
และเปิดกรุพระจ่าเพียรโดย “ธารเมฆ”เพื่อเป็นการรำลึกและเรียกน้ำย่อยให้กับคอลัมน์ เครื่องรางของขลัง พร้อมกับคอลัมน์ใหม่ๆเช่น รหัสชีวิต ลิขิตดวงดาว เพื่อไขปัญหาต่างๆให้กับท่านที่จดหมายถามไถ่กันเข้ามา ตามหลักโหราศาสตร์โบราณและไพ่ยิปซีประยุกต์ โดยธูป เทียนธรรม รวมทั้ง Wild Seed ชุมพล เอกสมญา จะมาบอกเล่าเรื่องราวเมล็ดพันธุ์เถื่อนควบคู่ไปกับเส้นทางดนตรีของเขา
และภูมิปัญญาจากหนังสือเก่า โดยบังสมาน อู่งามสิน แห่งสำนักพิมพ์อัลอิหม่าน ฯลฯ
ในเล่มนี้ เราขออนุญาตนำเสนอคอลัมน์ใหม่ๆไปพร้อมกัน ส่วนคอลัมน์เดิมก็ยังอยู่ครบครัน เพียงอยู่ในแฟ้มรอและจะเรียงทยอยเข้ามาประจำการสลับกันไปบ้างเพื่อความลงตัว และเราจะเคี่ยวให้ข้นขึ้นตามลำดับ พร้อมเปิดพื้นที่ใหม่ๆเอาไว้คอยรอ
เพื่อนำเสนอเรื่องราว “โลกทัศน์ชาวบ้าน จิตวิญญาณชุมชน” ของเราทุกคนร่วมกันครับ.