บทความ
วรรณกรรมท้องถิ่น
วรรณกรรมท้องถิ่น
พิเชฐ แสงทอง
ด้วยการบรรจุลงไปในกรอบฉันทลักษณ์อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมวรรณศิลป์ของชนชั้นสูง กระทั่งถูกยกย่องให้เป็น "วรรณคดี" (โดยเฉพาะเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน" ถึงกับถูกยกให้เป็นยอดวรรณคดีประเภทกลอนสุภาพ) ขณะที่วรรณกรรม/วรรณคดีของวัฒนธรรมชั้นสูงหลายต่อหลายเรื่องก็ถ่ายทอด/แพร่กระจายไปสู่ชาวบ้าน ถูกเล่า ถูกสวด ถูกขับด้วยภาษาและฉันทลักษณ์หลวมๆ แบบท้องถิ่น จนกลายเป็น(วรรณกรรมท้องถิ่น) ฉบับภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ (และปรุงแต่งกันไปเป็นฉบับเล็กฉบับน้อยอีกมากตามลักษณะเฉพาะของแต่ละชุมชน) วรรณกรรมเหล่านี้กลับหมดโอกาสขึ้นสู่ทำเนียบวรรณคดี
ปรากฏการณ์วรรณคดีของวัฒนธรรมชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลต่อวรรณกรรมท้องถิ่นได้พอ ๆ กันกับที่วรรณกรรมท้องถิ่นเองก็มีอิทธิพลต่อวรรณคดีของวัฒนธรรมชนชั้นสูง แสดงให้เห็นว่า การแพร่กระจายของวรรณกรรมนั้นสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาด (ผู้เสพ) ให้แก่วรรณกรรมในสองวัฒนธรรมได้แทบจะเท่า ๆ กัน
ถ้าหากเราหยุดการรับรู้ไว้เพียงย่อหน้าข้างต้นได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ในเมื่อเราได้รับรู้ด้วยว่า ในตำราเรียนของเราแต่ไหนแต่ไรมา (ตั้งแต่จินดามณีฉบับอยุธยาที่มีบางบทของลิลิตพระลอก็ว่าได้) มีแต่เพียงวรรณกรรมของวัฒนธรรมชนชั้นสูงซึ่งถูกยกย่องให้เป็น "วรรณคดี" แล้วเท่านั้นที่ถูกนำมาเสนอเข้ามาเป็นตัวแทนองค์ความรู้ คุณค่า และบรรทัดฐานของวรรณกรรมไทยโดยรวม
ก่อนจะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่วรรณกรรมไทยหันหน้าไปหารูปแบบตะวันตกเมื่อรัชกาลที่๕ เป็นต้นมา เราอาจพูดได้ว่า บรรทัดฐานของวรรณกรรมไทยนั้น คือ บรรทัดฐานของวรรณกรรมชนชั้นสูงซึ่งถูกยกย่องให้เป็นวรรณคดีแล้วเท่านั้น บรรทัดฐานเหล่านี้อาจเห็นได้จากเกณฑ์วินิจฉัยหนังสือ "แต่งดี" ของ "วรรณคดีสโมสร" ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า ต้องเป็นเรื่อง (เนื้อหา) ที่ควรอ่าน ไม่ชักจูงผู้อ่านไปในทางไร้แก่นสารและวุ่นวายทางการเมือง อีกทั้งรูปการประพันธ์ ตลอดจนภาษาก็ต้องเป็นภาษาไทยที่ดี ถูกต้องตามโบราณ
บรรทัดฐานนี้แม้กระทั่ง "วรรณคดีสโมสร" ยุติบทบาทลงไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่เมื่อ "สมาคมวรรณคดี" ซึ่งทรงก่อตั้งโดยกรมพระยาดำรงเดชานุภาพเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๔๗๔ ก็ยังคงถือเป็นบรรทัดฐานสำคัญในวาระการประชุมเพื่อวินิจฉัย "หนังสือกลอนลิลิต" พระวรเวทย์พิสิฐ กรรมการสมาคมยังได้เสนออีกว่า คำประพันธ์ที่ดีที่สุดมีลักษณะ ๕ ประการ คือ ๑) แต่งถูกต้องตามข้อบังคับของคำประพันธ์ชนิดนั้น ๆ โดยเคร่งครัด ๒) ความดี และเด่น ๓) สัมผัสดี ๔) ความไพเราะ ๕) ไม่แต่งอย่างที่ว่ากลอนพาไป
แค่เพียงลักษณะข้อที่ ๑ เราก็จะเห็นว่าวรรณกรรมท้องถิ่นซึ่งมีธรรมชาติอยู่ที่ความไม่นิยมฉันทลักษณ์ ซับซ้อน ตายตัว หรือเคร่งครัด ก็เสียโอกาสที่จะเป็นงาน "แต่งดี" ไม่อาจก้าวขึ้นทำเนียบเพื่อเป็น "วรรณคดี" เสียแล้ว
ในกรอบนิยามคำว่า "การเมือง" ซึ่งหมายถึงความพยามยามในการช่วงชิง/สถาปนาอำนาจนำโดยการสร้างวาทกรรมครอบงำวาทกรรมอื่น ๆ เราก็จะพบว่าวรรณกรรมไทยในห้วงเวลานั้นถูกกอดกุมความหมาย ตลอดจนบรรทัดฐานในการประเมินค่าโดยวัฒนธรรมของชนชั้นสูง วรรณกรรมท้องถิ่นกลายเป็นสิ่งนอกกระแส เป็นวรรณกรรมชายชอบ ศิลปะของงานเหล่านี้เป็นเพียงวรรณศิลป์นอกกกระแสที่ถูกเมิน
วาทกรรมครอบงำจากยุค "วรรณคดีสโมสร" ส่งผ่านถึง "สมาคมวรรณคดี" จนแม้เมื่อจอมพล
สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงต้นศตวรรษ ๒๕๐๐ มันก็ยังคงอิทธิพลครอบงำอยู่ไม่เสื่อมคลายในเอกสารซึ่งแผนกวัฒนธรรมทางวรรณกรรม กองวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการรียบเรียงขึ้นเพื่อบรรยายออกอากาศทางสถานีวิทยุ (ต่อมารวมพิมพ์เป็นหนังสือชุดวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๐๒) ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีการกำหนดบรรทัดฐานประเมินค่าวรรณกรรมขึ้นมาใหม่ แผนกวัฒนธรรมทางวรรณกรรมเพียงแต่นำหนังสือ.ที่ได้มีการพิจารณายกย่องกันว่าเป็นวรรณคดี คือ หนังสือที่แต่งดีถึงขนาด.(หน้า ๑-๒) มาถ่ายทอดยกย่องต่อ แน่นอนว่าในกระแสธารประวัติศาสตร์ช่วงนี้ วรรณกรรมท้องถิ่นย่อมไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้เหมือนเดิม
"ที่ทาง" ของวรรณกรรมท้องถิ่นที่เป็นทางการมีขึ้นหลังจากนั้นมาอีก ๖ ปี คือใน พ.ศ. ๒๕๐๘ เมื่อวิทยาลัยครูได้บรรจุลงไปในหลักสูตรในฐานะของภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนวิชา "คติชนวิทยา และภาษาถิ่น" จนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ วรรณกรรมท้องถิ่นก็แยกออกมาเป็นกระบวนวิชาอย่างเอกเทศ หลังจากนั้นหลักสูตรศิลปศาสตร์ในมหาวิทยาลัยก็เริ่มหันมาให้ความสนใจเพิ่มขึ้น
แต่ทว่าในสังคมและวัฒนธรรมที่ "เมือง" มีอิทธิพลและสามารถสร้างวาทกรรมหลักขึ้นมาครอบงำได้อย่างง่ายดายอย่างสังคมและวัฒนธรรมไทย การมี "ที่ทาง" ของวรรณกรรมท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ (บ้าง) เช่นนี้ก็หาได้เอื้อประโยชน์ให้วรรณกรรมท้องถิ่นกลับขึ้นมามีชีวิตชีวาได้เท่าใดนัก การศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมท้องถิ่นในระยะนี้ยังเน้นลักษณะการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม
และที่สำคัญมันถูกโยก (โดยธรรมชาติ และความเหมาะสม) ให้เป็นภาระของปัญญาชนท้องถิ่นและนักวิชาการท้องถิ่น ซึ่งไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะสถาปนาวาทกรรมวรรณกรรมท้องถิ่นให้ขึ้นมาเป็น (แม้เพียง) วาทกรรมทางเลือกได้ ขณะนั้นนักวิชาการวรรณคดีก็ยังคงเอาจริงเอาจังอยู่กับภารกิจในการสืบสาน/สืบทอด/ตอกย้ำวาทกรรมครอบงำในอดีตให้ลงหลักปักฐานแน่นหนายิ่งขึ้น และกว้างขวางขึ้นด้วยเกณฑ์/บรรทัดฐานการประเมินค่าวรรณกรรมในฐานะกระจกส่องสะท้อนยุคสมัย ซึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่พร้อมกับชนชั้นกระฎุมพี
หรือแม้กระทั่งในหมู่ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นอันได้แก่ปัญญาชนท้องถิ่น นักวิชาการท้องถิ่นเอง ในระยะแรก ๆ กรอบการศึกษาที่ใช้ก็ดูเหมือนจะยกแบบ "กรอบ" ในการศึกษาวรรณคดีมา อย่างเช่นศึกษาด้านวรรณศิลป์ มีความพยายามถอด/วาดแผนผังฉันทลักษณ์ ศึกษากลวิธีสร้างภาพพจน์ สร้างโวหารกวี โดยเฉพาะในเพลงพื้นบ้านชนิดต่าง ๆ ซึ่งถ้าจะกล่าวไปแล้ว วิธีการเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญาชนและนักวิชาการท้องถิ่นเองก็ตกอยู่ภายใต้วาทกรรมครอบงำของวรรณคดีดุจเดียวกันกับที่
นักวรรณคดีส่วนกลางเป็น
และเมื่อข้ามเวลามาถึงปัจจุบันที่ถนนทุกสายไม่ได้มุ่งสู่กทม.อีกแล้ว แต่คำตอบอยู่ที่หมู่บ้านแทน วรรณกรรมท้องถิ่นก็ยังคงถูกกดทับ/กีดกันให้ออกจากวาทกรรม กระแสหลักอันเป็นวาทกรรมวรรณกรรมสัจนิยม ซึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับจำนวนที่อ้วนพีของชนชั้นกลางตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ จนถึงก่อนฟองสบู่แตกเมื่อราว ๑๐ ปีก่อน "ตลาด" ของวรรณกรรมกระแสหลักคือตลาดของชนชั้นกลาง และเมื่อปรากฏว่า ธรรมชาติ (หรือจริต? หรือมายาคติ?) ของชนชั้นนี้ คือ วิสัยทัศน์สู่เบื้องหน้าที่สูงขึ้นไปเท่านั้น ปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและรสนิยมของชนชั้นตนจึงผสมปนเปกันไประหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมชนชั้นสูง เราอาจเห็นรูปธรรมของการปฏิสัมพันธ์นี้ได้ง่าย ๆ จากบางปรากฏการณ์ เช่น "ฉันทลักษณ์" (เช่น โคลง, ฉันท์, กาพย์, กลอนแบบสุนทรภู่) อันเป็นมรดกจากชนชั้นสูงในกวีนิพนธ์ ขณะที่เนื้อหาเปลี่ยนแปลงไปจากแบบวรรณคดีสู่เนื้อหาเชิงปรัชญาความคิดแบบตะวันตก
ในสภาพเช่นนี้วรรณกรรมท้องถิ่นยังคงถูกสตัฟฟ์อยู่ในตำราเรียน ซึ่งยังความสามารถในการสร้างความเบื่อหน่ายให้แก่เยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่ ๒๐ ก็เกิดมีโครงการวิจัย "หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน" ซึ่งผู้วิจัยยังคาดหวังว่า หนังสือดี ๑๐๐ เล่มนี้ (ไม่มีวรรณกรรมท้องถิ่นอยู่เลย แต่มีวรรณคดี และวรรณกรรมสัจนิยม) จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา ภาษา วรรณคดี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาระดับต่าง ๆ .ซึ่งก็หมายความว่ายังมีความพยายามสถาปนาให้วรรณคดีและวรรณกรรมสัจนิยมซึ่งเป็นวาทกรรมครอบงำอยู่แล้ว (ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ) เป็นตัวแทนองค์ความรู้ คุณค่าต่าง ๆ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยไม่เปิดโอกาสให้มีวาทกรรมทางเลือกอื่นเลย
เมื่อถามว่าวรรณกรรมท้องถิ่นผิดตรงไหน วาทกรรมกระแสหลักตอบว่า
".เพราะคงจะยากเกินไปสำหรับผู้อ่านทั่วไปซึ่งไม่ได้มีความรู้ภาษาถิ่นใดถิ่นหนึ่ง ที่ต้องอาศัยการแปล การอธิบายความอยู่มาก แม้เราจะรู้สึกว่าการคัดเลือกเฉพาะหนังสือที่เขียนและผลิตขึ้นในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ๆ อาจไม่เป็นธรรมและไม่ครอบคลุมอย่างกว้างขวางเพียงพอ." (สารานุกรมแนะนำหนังสือดี ๑๐๐ เล่มที่คนไทยควรอ่าน, หน้า ๒๑)
ผู้เขียนไม่พึงปรารถนาและไม่ได้เรียกร้องให้นักวิชาการนักวรรณกรรมหันมาสร้างสถาปนาวาทกรรมวรรณกรรมท้องถิ่นให้ขึ้นมามีอิทธิพลครอบงำวรรณกรรมอื่น ๆ เพราะเพียงแค่จะทำให้มันมีหน้ามีตาขึ้นมาบ้างก็ยังไม่เห็นหนทางว่าจะทำอย่างไร
ความมุ่งหมายของบทความชิ้นนี้เพียงต้องการชี้ให้เห็นอย่างคร่าว ๆ ว่า ตลอดมา บนเส้นทางประวัติศาสตร์วรรณกรรมไทย วรรณกรรมท้องถิ่นถูกการเมืองเรื่องวรรณกรรมกดทับ/เบียดบังจนสิ้นรัศมีไปอย่างไรเท่านั้น!.
สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์. ๔๕ : ๒๓ (๗ - ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๒) , หน้า ๖๘ - ๖๙.