บทความ
ลวกเส้นเป็นกวี ๐๑.
รอยยิ้มของนักเก็บภาษี
นักเขียนนั้น- ร้อยทั้งร้อยละครับต้องเคยได้รับคำถามว่าด้วยแรงบันดาลใจ
อะไรจึงมาเป็นนักเขียน อันนี้ตอบยากนะครับ ตอบยากจริงๆ เพราะไม่ว่าจะยกเหตุผลอันใดมาอธิบายก็ตาม มันก็จะยังเรียวแหลมไปที่ความอยากจะสื่อกับผู้คนด้วยตัวหนังสือทั้งสิ้น คนบางคนอาจมีความสุขกับการสื่อด้วยเสียงพูด บ้างก็ได้แสดงท่าทาง คลาสสิคหน่อยก็ด้วยท่วงทำนองของเพลง ใครที่ไม่อยากสื่อสารอะไรกับใครก็อาจนั่งนิ่งๆ แต่การนั่งนิ่งๆเงียบๆนั้นก็นั่นแหละคือการสื่ออย่างหนึ่ง มนุษย์จึงมีการสื่อถึงกันในทุกขณะอิริยาบถ จริงๆสิ่งมีชีสิตทุกชนิดนั่นแหละที่มีการสื่อสารติดต่อกัน ต่างมีเครื่องส่งและเรดาห์รับอยู่ในตัว แม้แต่แมวที่ว่ากันว่าเป็นสัตว์โดดเดี่ยวที่สุดในโลกก็เถอะ มันยังคงครางเมี้ยวเมี้ยวสื่อสารกับแมวด้วยกันรวมทั้งสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ หรือกระทั่งพืชพันธุ์ต้นไม้ที่บานดอกสวยสดงดงามแตกต่างกันไป มันไม่น่าจะบานเล่งโดยไร้เหตุผลเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นมันจะมีเกสรตัวผู้ตัวเมียไว้ทำไมเล่า ? แต่วิวัฒนาการของมนุษย์เท่านั้นที่ซับซ้อนอลังการจนกลายเป็นตัวหนังสือ มันสามารถบ่งบอกได้ถึงอารยธรรมสูงสุดของวัฒนธรรมการสื่อสาร
มีหลายขณะที่เราไม่รู้จะพูดสื่อสารออกมาอย่างไรดีเหมือนกัน มันดูอึดอัดกระวนกระวาย
คันปากยิบๆหงุดหงิดไม่รู้สร่าง สมองนั้นได้เอ่ยถ้อยคำในใจไปหมดสิ้นแล้วแต่ปากกลับปิดสนิท หรือปากยังพูดเรื่อยเจื้อยเรื่องโน้นเรื่องนี้แต่สมองกลับคิดหาคำพูดที่ดีดีสักประโยคของความในใจออกมาไม่ได้ ทุกคนต้องเคยประสบภาวการณ์เช่นนี้ บางคนจึงใช้วิธีปล่อยให้เข็มนาฬิกาเดินหน้าของมันไปอย่างเงียบๆ บ้างก็เก็บเอามานึกประโยคสวยๆเพื่อเอ่ยในวันหลัง แต่ผมเก็บทุกเม็ดคำพูดในสมองมาเขียน เราต่างมีวิธีการที่แตกต่าง แต่มีจุดหมายเดียวกันคือการสื่อสิ่งที่คิด
และดวงตาโตๆของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง หลังจากที่ตะลึงมองจ้องหน่วยตาคู่สวยคู่
นั้นนานนับนาทีนาที จนผมลืมไปว่ากำลังไปติดต่อเรื่องภาษีที่สรรพากรอำเภอ ก็มีสิ่งที่อยากพูดอยากบอกเล่าขึ้นมา
กฎหมายบอกผมว่าเป็นคนไทยต้องเสียภาษี ทุกประเทศก็คงเป็นเช่นนี้ เพื่อรัฐจะได้นำเงิน
ภาษีของเรานั้นมาสร้างสวัสดิการต่างๆให้แก่เรา ประเทศชาติจึงจะเจริญได้เท่าทันโลกที่มีแต่รุดไปเบื้องหน้า แต่การติดต่อราชการไทยนี่มันช่างเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวสำหรับผมเสียเหลือเกิน เมื่อตอนอายุ ๑๘ ขณะนั้นกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา ผมขออนุญาตทางโรงเรียนเพื่อจะไปอำเภอทำบัตรประชาชน เช่นทุกคนนั่นแหละ- การได้ทำบัตรประชาชนมันทำให้เรามองเพื่อนของเราหลายคนที่อายุยังไม่ถึงนั้นด้วยหางตาเหยียดๆในความเป็นเด็ก ผมยิ้มมุมปากให้กับสมศักดิ์ ทำนองว่าไอ้หนู รออีกหน่อยนะ เดี๋ยวก็จะทำบัตรได้แล้ว สมศักดิ์ยิ้มฟันขาวตอบมาว่า โถไอ้แก่...
วันนั้นผมเดินขึ้นอำเภอด้วยหัวใจพองโต หอบหิ้วเอกสารที่คาดว่าจะต้องใช้ใส่ถุงกระดาษ
โชคดี เดินไปจนถึงโต๊ะที่มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังแต่งหน้า ผมยกมือไหว้สวัสดีตามมรรยาทที่แม่ได้พร่ำสอน บอกว่ามาทำบัตรประชาชนครับพร้อมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ป้าคนสวยก็ยังคงนั่งทาลิปสติคสีแดงแปร๊ดอยู่อย่างนั้น ผมยิ้มแล้วบอกอีกครั้งว่ามาทำบัตรประชาชนครับ อาจยืนกระสับกระส่ายเล็กน้อยที่ไม่ได้รับการต้อนรับแม้เสียงสักเสียง ป้าแกเหลือบมองผมนิดหน่อย แล้วทำปากจู๋ก่อนเม้มริมฝีปากให้ลิปสติคหนาบางเท่ากัน ผมยืนทำตาปริบๆ ตัดสินใจโก้งโค้งค้ำโต๊ะยื่นหน้าไปชิด ยิ้มอย่างน่ารักบอกว่ามาทำบัตรประชาชนอีกครั้ง ป้าแกขมวดคิ้วทันทีเลย กระชากถุงกระดาษโชคดีอย่างแรงจนหูหิ้วขาดติดมือ ตรวจเอกสารต่างๆอย่างรวดเร็วแล้วถามว่าไหนใบต่างด้าว ? เตี่ยผมเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ครับ อยู่ประเทศไทยก็ต้องมีใบต่างด้าวแทนบัตรประชาชน ผมรีบกลับบ้านลนลานด้วยมันใกล้หมดเวลาราชการมะรอมมะร่อ กลับไปอำเภออีกทีป้าแกก็ยังสวยไม่เสร็จ ผมยื่นใบต่างด้าวให้แล้วยิ้มอย่างหอบเหนื่อย ป้าแกกระชากไปดูแล้วถามหาอะไรอีกสักอย่างนี่แหละ ผมจึงเริ่มคิดได้ว่ามันไม่น่าจะถูกต้องนัก เลยถามป้าไปตรงๆว่าต้องการอะไรกี่อย่าง จะได้เอามาทีเดียวให้พร้อมเลย ป้าโกรธมากหาว่าผมย้อนสวนผู้ใหญ่ อ้าว- ผมทั้งเหนื่อยทั้งเสียเวลาทั้งเสียการเรียนแท้ๆ กลับมาโกรธผมทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงของป้าแท้ๆ ผมกระชากถุงกระดาษกลับ แล้วเดินลงส้นปึงๆกลับบ้านทันที
อีกวัน- น้าแลงหรือจ่าแลงสารวัตทหารก็เดินนำหน้าผมขึ้นอำเภอ หน้าดุดุตัวใหญ่ๆรวมทั้ง
เป็นคนกว้างขวางของแก เมื่อบวกกับเสียงที่ดังฟังชัดคำไหนคำนั้นจนเป็นที่เลื่องลือ ผมก็ได้ทำบัตรประชาชนเป็นครั้งแรกในชีวิต
อย่างนี้จะไม่ให้ผมสะพรึงกลัวจนขนหัวลุกพองได้อย่างไรกัน ?
การย่างเท้าเข้าอำเภอเป็นเรื่องน่าอกสั่นขวัญแขวนเพียงไร การต้องเลี้ยวขวาเข้าสรรพากร
อำเภอมันยิ่งเป็นเรื่องตาเหลือกลานเพียงนั้น ผมพยายามสร้างความมั่นใจครั้งใหญ่ และพร้อมที่เผชิญกับท่าทีของข้าราชการให้ได้ มือที่เย็นเฉียบยกขึ้นจัดผมอย่างทุลักทุเล ขยับแว่นกันแดดให้เรียบร้อย แล้วอาราธนาพ่อท่านหนูจันก่อนเลี้ยวเข้าสรรพากรอำเภอ
ผมต้องรีบเปลี่ยนเป็นแว่นสายตาทันที เมื่อพบว่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าคือหญิงสาวสวยตาโตคน
หนึ่ง ตาโตโตของเธอสวยและคมบาดใจนัก ผมตะลึงจ้องหน่วยตาคู่นั้นอย่างเสียมรรยาท โชคดีที่เธอไม่ได้ตำหนิอะไรผมออกมา ผมนั่งลงเบื้องหน้าเธออย่างประหม่า ผมมักขวยอายทุกครั้งต่อหน้าหญิงสาว แว่นสายตาทำให้ผมมองเห็นหน่วยตางามนั้นชัดเจน มันเป็นหน่วยตาดำขลับที่มีน้ำนวลอ่อนโยน รับกับรูปหน้าหวานๆ โอเจ้าประคุณเอ๋ย...
บรรยากาศอึดอัดขัดข้องของสถานที่ราชการอันเข้มขรึมมลายไปจากความรู้สึก รูปทรง
อาคารที่บอกลักษณะเจ้าขุนมูลนายศักดินาไม่ได้เป็นเหมือนดวงตาขมึงทึงอีกต่อไป ไม่มีป้าคนสวยคนนั้น การติดต่อราชการไม่ได้เป็นเรื่องอันน่าสะพรึงกลัวหวาดหวั่นอีกต่อไป มันย่อมเป็นเรื่องดียิ่งสำหรับประชาชนชั้นไพร่เช่นผม ภาพป้าคนสวยเกรี้ยวกราดตวาดกระชากถุงเป็นเพียงฝันร้ายที่เคยหลอกหลอน ผมเดินออกจากอำเภออย่างอ้อยอิ่งเมื่อเสร็จธุระ ยังอยากพูดอยากคุยซักถามเรื่องราวของภาษีและระบบการจัดเก็บ อยากเป็นนักเรียนที่กำลังเลคเชอร์อย่างตั้งอกตั้งใจ อยากนั่งสบตาคู่โตๆนวลน้ำสองลูกนั้นให้นานๆ อยากให้รอยยิ้มของนักเก็บภาษีคนนั้นติดตรึงอยู่ในความทรงจำนิรันดร อยากเขียนบทกวีดีดีสักบทเพื่อกำนัลดวงหน้าอ่อนโยน อยากชวนเธอกินข้าวเที่ยง..................ไม่ได้ไม่ได้ ผมมาติดต่อราชการจนเสร็จสิ้นแล้ว ผมต้องกลับบ้าน
คู่คิ้วขมวดหน้าตาบูดบึ้งและการแต่งหน้าทาปากอย่างเอาการเอางานของป้าคนสวย กับลูก
ตาโตๆสองลูกดวงหน้าอ่อนโยนยิ้มเป็นกันเองพูดคุยน่ารักและสวยมากๆของนักเก็บภาษี มันคือการสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่ไม่ต้องมีคำพูดหรือตัวหนังสือเลย แต่เรารับรู้เข้าใจได้ เช่นที่ผมเก็บรอยยิ้มในดวงตาโตๆวาวๆของเธอนักเก็บภาษีคนสวยมาพูดสื่อสารกันด้วยตัวหนังสือ เป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ถ่ายทอดสื่อออกมาด้วยอารยธรรมสูงสุดของวัฒนธรรมการสื่อสาร กับคุณๆ
๒๘ พิจิก ๒๕๔๙
// เป็นงานที่หนังสือสมิหลาไทม์ ติดต่อมาให้เขียนนับแต่หลังวันที่ ๕ ธันวา ๒๕๔๙ นี้