Message
"ผมเขียนเรื่องเสร็จแล้วครับพี่เจี๊ยบ"
"ผมเขียนเรื่องเสร็จแล้วครับพี่เจี๊ยบ" ตี๊ดตี๊ด ตี๊ดตี๊ด เสียงดังขึ้น ข้อความที่ผมส่งไปปรากฏ
"กลางคืนอย่าลืมนอนห่มผ้านะ พี่เจี๊ยบ"
"กลางคืนอย่าลืมนอนห่มผ้านะ พี่เจี๊ยบ" ตี๊ดตี๊ด ตี๊ดตี๊ด เสียงดังขึ้น ข้อความที่พี่เจี๊ยบส่งมาปรากฏ
"ฮัลโหลครับ อ่อ พี่เจี๊ยบเหรอ ผมอยู่ที่งานครับ อะไรนะครับ ไม่ค่อยได้ยินครับ เดี๋ยวนะครับ แป๊บนึง เดินออกมาข้างนอกหน่อย ครับๆ ว่าไงนะครับ"
"จูได้รับข้อความของพี่ไหม"
"อ่อครับ ได้รับครับ"
"เอ่อ พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม"
"อะไรนะครับ อ่อครับ ได้ครับ ถามอะไรนะครับ"
"จูได้รับข้อความแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง"
เรื่องสั้น : ทุกๆ ๓๐ นาที...ที่ผ่านไป
๒๑.๐๐ น. หน้ากระดาษในเครื่องพิมพ์ดีดยังคงว่างเปล่า หนังสือกองหนึ่งวางอยู่ข้าง ๆ กาแฟถ้วยที่สองพร่องลงไปแล้วเกือบครึ่งถ้วย เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเทปที่เปิดทิ้งไว้เปลี่ยนกลับหน้า-หลังเป็นรอบที่สอง ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปเปลี่ยนเทปเพลงม้วนใหม่
เมื่อกลับมาที่โต๊ะก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ หลังจากนั้นไม่นานนัก, เสียงเพลงก็ดังแว่วมา
สูงสุดขอบฟ้าคือความฝันเหนือคนธรรมดา
แมงวันหัวเขียวผู้หาญกล้า คิดทายท้าธรรมชาติในการบิน
หัวเขียวประกาศกับพี่น้อง ทั้งป่าวร้องพลแมงให้ได้ยิน
ให้ได้เห็นกับตาความบ้าบิ่น ข้าจะบินเอาอย่างนกนางนวล บินอย่างนกนางนวล
มันเป็นเพลงของ แอ๊ด คาราบาว บอกเล่าถึงแมลงวันหัวเขียวตัวหนึ่งที่คิดการใหญ่เกินตัว เพลงบางเพลงในเทปชุดนี้มีที่มาจากหนังสือหลายเล่ม, ผมรู้เมื่อกลับไปหยิบปกเทปเปิดออกอ่าน
หน้าต่าง
ผมเพิ่งจะสร้างบ้านราคาล้านห้า โอโห เฉพาะดวงไฟมีกว่าร้อยดวง ค่าไฟเดือนที่แล้วหกร้อยกว่าบาท แหม ท่าจะอวดร่ำอวดรวย มีหน้าต่างหลายสิบบาน หน้าต่างหลายสิบบาน ทำไมนะรึ เพราะผมชอบอะไรที่มันโล่งๆ
ตอนแรกบ้านที่ว่าที่ดินส่วนหนึ่งจะถูกเวนคืนเฉียดๆครึ่งของที่ดินสองห้อง บนเนื้อที่ประมาณห้าสิบตารางเมตร จึงต้องร่นที่ถอยไปข้างหลัง ข่าวล่าสุดทราบว่าตอนนี้เมื่อที่นี่ยกฐานะเป็นเทศบาลเมือง และได้สร้างเป็นถนนคอนกรีตกว้างแปดเมตรแล้ว โครงการสร้างถนนของกรมทางหลวงชนบทคงจะไม่สร้างล่ะ ผมก็เลยเบาใจไปเปราะหนึ่งว่าได้มีที่ข้างหน้าบ้านเหลืออยู่หน่อยนึง สำหรับปลูกต้นไม้อะไรต่าง ๆ เพิ่ม นอกจากส่วนข้างหลัง ซึ่งเป็นที่ถมแล้วของเขาบ้านทิ้งร้างข้าง ๆ มีป่าหญ้าและต้นไม้ขึ้นรกเรื้อ จนถัดไปข้างหลังเป็นป่าบอนผมกะจะลงแปลงปลูกผักสวนครัวตรงที่ว่างๆ ส่วนอีกข้างเป็นบึงเล็ก ๆ และที่น้ำขังและหญ้ารกอาจจะลงผักบุ้งกับผักกรูดแทรกข้าง ๆ ตลิ่ง แต่ที่สำคัญคือผมไม่ต้องอพยพโยกย้ายหาที่ทางสักผืนไปอยู่ในป่าเสียให้รู้แล้วรู้รอด ก็ถ้าถนนสี่เลนตัดเลียบผ่านหน้าบ้านไปแบบแนบสนิทเช่นนั้น
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล แนะทางออกหลังเลือกตั้ง 'ถ่วงดุลอำนาจ เปิดพื้นที่การเมืองให้ทุกกลุ่ม'
การที่กลุ่มทุนกลุ่มใหญ่ที่ขึ้นมากุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 มีการใช้อำนาจโดยแยกออกจากฉันทามติทางวัฒนธรรมมากเกินไป หรือที่เรียกว่า 'ลุแก่อำนาจ' ทำ ให้ได้รับการต่อต้านจากคนจำนวนมาก เรื่องความชอบธรรมของการใช้อำนาจ
หมายเหตุ : ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวปาฐกถานำเรื่อง "เมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน" เนื่องในโอกาสการประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 8 จัดโดยคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติสาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ร่วมกับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ศูนย์การค้าและนิทรรศการนานาชาติ กรุงเทพฯ ไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม
โดยหลักอนิจจังแล้ว เราควรมองเห็นหลักของการเปลี่ยนแปลงเลื่อนไหลของสรรพสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นสถานการณ์ทางการเมือง อย่าคิดว่าสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือการเปลี่ยน แปลงเป็นเรื่องไม่ดีตลอดเวลา กล่าวอีกแบบหนึ่งคือเราไม่ควรมองคำนิยามคุณค่า ความหมาย หรือบทบาท หรือตัวแสดง ตลอดจนองค์ประกอบทางการเมืองทั้งหลายอย่างหยุดนิ่งตายตัว
การเมืองไทยโดยเนื้อแท้แล้วมีระบบหรือเปล่า สามารถตีเส้นแบ่งชัดเจนว่าเป็นระบอบอะไรได้แค่ไหน หรือว่าในความเป็นจริงสัมพันธภาพของผู้คนในประเทศนี้ ล้วนล่องลอยไปในสายธารของเหตุการณ์ มีตัวบุคคล ตลอดจนพลังต่างๆ ผลุบโผล่แล้วถอยจมไปตามคลื่นลมของกระแสน้ำ หาได้มีสิ่งใดหยุดนิ่งให้นิยาม ไม่มีรูปนามให้ยึดถือ
ห่อใจใส่กระทง
ใบตองอ่อน เจียดวาง อย่างปราณีต บรรจงกรีด กลีบดอก ออกเป็นแผ่น หยวกน้ำว้า จัดวาง ตามขวางแกน บัวกลีบแน่น พับติด จิตอ่อนตาม
สุดเวิ้งฟ้า ประดาประดับ ด้วยแสงดาว ระยิบระยับ วับวาว ทั่วสยาม สุดเวิ้งน้ำ เปลวเทียนทอง รองเรืองงาม เด่นชัดยาม ราตรี มีแสงไฟ
มาลัยร้อย กระทง ลงตามแบบ พุทธธรรม ฝังแนบ แถบเทียนใส จุดธูปหอม หวนชวนดม บรรจงใจ อธิษฐาน ขอโรคภัย อย่าบีฑา
น้อมดวงจิต ผ่านหน้า เทวาน้ำ ความดีงาม จงเกิดก่อ ปรารถนา
หนุนนำใจ ให้สบสุข ทุกเวลา ลอยกระทง ขอขมา พาสุขใจ
พันธุ์ทิพย์
สาส์นเชิญชวนไปเลือกตั้ง
ยี่สิบสามธันวาเจ้าข้าเอ๋ย เตรียมบัตรเข้าคูหาอย่าละเลย อภิเปรยสัจจะมติประชา
เขาดูถูกคุณอยู่รู้หรือไม่
มีมือตีนก็ใช่จะแกร่งกล้า
รอความหวังจากเศษความเมตตา
ที่เขาลวงหว่านมาเพื่อลงทุน
เขาเหยียบย่ำคุณอยู่รู้ไหมครับ
เงินเขานับจับจ่าย...ใช่อุดหนุน
นั่นคือเล่ห์อย่าหลงผิดคิดหน่อยคุณ
เขาบอกบุญแต่เท้ากร่างเหยียบหว่างคอ
คุณก็รู้กี่ปีที่มีเขา
ชาติของเราพี่น้องเราเป็นไรหนอ
ประชายังฝันเดี้ยงไม่เพียงพอ
เหมือนมีดจ่อคอหอย...แสนน้อยใจ
เขากอบโกยผลประโยชน์แสนโกฏิล้าน
เข่นประหารคุณตลอดเหมือนบอดใบ้
ปิดหูตาด้วยกลยุทธ์สุดวิไล
คุณหรือใครไหนกันรู้ทันกล
ผลประโยชน์เพื่อพวกพร้องพี่น้องเขา
ทิ้งพรรคพวกของเราเฝ้าหมองหม่น
พวกเขารวยล้นฟ้านภาดล
พวกเราจนข้นแคน...สุดแสนช้ำ<!--read more-->
"เดือนเพ็ญ" บทเพลงมหัศจรรย์ บนความยิ่งใหญ่ที่ถูกลืมเลือน
"เดือนเพ็ญแสงเย็นเห็นอร่าม นภาแจ่มนวลดูงาม เย็นชื่นหนอยามเมื่อลมพัดมา
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา จะไปซบหน้ากับอกแม่เอย"
หลายคนคงเคยได้ยินได้ฟัง แอบชื่นชอบชื่นชมกับเพลงบทนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่สงสัยหรือทราบอย่างแท้จริงว่า ผู้แต่งเพลงนี้เป็นใคร ? มีความต่ำต้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงใด ? บางคนฟันธงไปเลยว่า "น้าหงา" อาจารย์ใหญ่เพลงเพื่อชีวิตเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีอัจฉริยภาพถึงขั้นรจนาบทเพลงที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่ผู้นิยมคาราบาว(แดง) อาจประท้วง ว่า "อาแอ๊ด" ศิลปินผู้ยืนยง ต่างหากที่เป็นผู้ประพันธ์ตัวจริงเสียงจริง
บรรยากาศชนบท ในสังคมชาวนาโรแมนติค ลานบ้านที่เต็มไปด้วยกองฟาง นั่งมองจันทร์ลอยเด่นบนฟากฟ้า ให้บรรยากาศที่งดงามดื่มด่ำยิ่งนัก หวนนึกถึงครั้งหนึ่งเมื่อผมได้ทำค่ายอาสาพัฒนาชนบท ด้วยจิตใจที่ร้อนแรงของคนหนุ่มสาวในรั้วมหาลัย ท่ามกลางแสงตะวันที่เจิดจ้า แต่พวกเรามิเคยย่อท้อ นึกถึงบรรยากาศยามเย็นที่พวกเรามาร่วมร้องเริงรำร่วมกับชาวชนบทผู้น่ารัก เคล้าคลอด้วยแสงจันทร์นวลอันยวนใจ จิตใจอาสาพัฒนาบวกกับมนต์มหัศจรรย์แห่งบทเพลง ได้ช่วยขับกล่อมพวกเราให้เคลิบเคลิ้มและพร้อมจะยืนหยัดในเส้นทาง ที่ได้ก้าวเดินมามิรู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมยิ่งหลงใหลเสียงเพลงแห่ง "เดือนเพ็ญ"
เธอมาไกล
เธออาจมาไกลมากไม่อยากกลับเลยยอมรับเงื่อนไขในต่างถิ่นใช่ปีกกล้าขาแข็งจึงแกร่งบินแต่เธอยินความหวังแสนรังรองเธอยังอยู่แดนไกลไปอีกนานใช่ต้องการ ใช่ลืมเลือน...เหมือนจองหองเธออาจอยู่สบายคล้ายลำลองเบื้องหลังหมองน้ำตา...หรือว่าไรเธออาจข้ามผ่านพ้นอีกบนฝั่งจึงหันหลังทั้ง
'อานันท์' ร่วมรดน้ำศพ 'วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์' 'หงา คาราวาน' จรดปากกาเขียนกวีไว้อาลัย
'อานันท์' ร่วมรดน้ำศพ 'วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์' 'หงา คาราวาน' จรดปากกาเขียนกวีไว้อาลัยวันที่ 07 ธันวาคม 2550 เวลา 07:40:35 น.'อานันท์ ปันยารชุน' ร่วมรดน้ำศพ 'วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์' ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน เผยมะเร็งคร่าชีวิตสาวนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนวัย 52 ปี สดุดีต่อสู้ร่วมกับชาวบ้านมากว่า 20 ปี ปิ
ชานชาลานักเขียน
ชานชาลานักเขียนโดย คม ชัด ลึก วัน อาทิตย์ ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550 11:50 น. 00 แล้ววันเวลาก็เดินทางมาถึง เดือนสุดท้ายของปี อีกวาระหนึ่ง ใครที่คิดไว้ว่า จะทำอะไรดีๆให้ตัวเองภาคภูมิใจ ในรอบปี2550 ทำได้ (ได้ทำ) ตามเป้าหรือยังครับ? โดยเฉพาะ พี่น้องนักการเมือง ผู้อาสามาแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่เพื่อรับใช